วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2565

ออกกำลังกายกัน!!!

เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งของชีวิต  จุดนั้นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต....
 
     เนื่องจากต้องหาชุดใส่ไปงานแต่งงาน  ไม่เจอที่ถูกใจเลย  พอนั่งพักเหนื่อยดื่มกาแฟก็หันไปเจอร้านขายชุดทำงานร้านนึง ถูกใจมาก เพราะเดินผ่านหลายครั้งแล้วไม่กล้าหยิบ มันแพงสำหรับเรา(เริ่มต้น 2,500 บาท) ผ้าที่ใช้เหมือนชุดแบรนด์เนมแพงๆ แต่วันนั้นติดป้ายลดราคา 50%  ไม่รีรอพุ่งทะยานไปยังชุดเดรสที่หมายตาไว้  หยิบชุดมาทาบ น่าจะใส่ได้  คุณลุงเจ้าของร้านบอกให้ไปลอง ถ้ามันคับไปหรือมันหลวมไป เดี๋ยวลุงแก้ให้ได้  เมื่อเข้าห้องลอง ใส่ได้แต่รูดซิปที่เอวไม่ได้  ออกมาบอกคุณลุง  คุณลุงเลยมาวัดตัวเรา เพื่อจะได้นำไปขยายออกให้  ขณะที่วัดตัว เริ่มจากไหล่ อก ความยาวของลำตัวและมาถึงเอว  ตรงนี้สำคัญ  เมื่อคุณลุงวัดเอวเสร็จ ลุงก็เงยหน้ามาแล้วพูดนิ่มๆ ว่า "หนู  ผู้หญิงเราไม่ควรปล่อยให้ตัวเองอ้วนนะ"  เราไปไม่เป็นเลยอ่ะ เขินมาก ได้แต่หัวเราะแฮะๆ และตอบว่า "ค่ะ หนูจะพยายามค่ะ...ขอบคุณค่ะที่บอก"  หลังจากนั้นสติมา  เริ่มต้นสำรวจตัวเอง อดอาหาร หาอาหารเสริม เพื่อช่วยระบบเผาผลาญแต่ยังไม่คิดออกกำลังกายเพราะคิดว่าไม่มีเวลา กลัวเหนื่อยสารพัด น้ำหนักลงแต่ไม่ยั่งยืน มันก็กลับมามีน้ำหนักขึ้นมาอีกเพราะกินไม่เลือก  นั้นคือวิถีคนอ้วนของเมื่อ 2 ปีก่อ่น

   จนเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560  ที่ผ่านมา  เราตัดสินใจ ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ??  ตัดสินใจแล้วต้องลงมือเลย ห้าม!ผัดวันประกันพรุ่งเด็ดขาด   นึกๆ ไปเราก็มีรองเท้ากีฬาแล้ว ซึ่งซื้อไว้แค่ใส่อาทิตย์ละครั้ง ทำอย่างไรถึงจะให้คุ้มกับเงินที่เสียไปกับค่ารองเท้า (มีความงกเป็นที่ตั้ง) วิ่งดีกว่า....มันก็เหนื่อยมากนะวิ่งอ่ะ  แต่ก็อยากลองวิ่งดูเพราะมีคนที่วิ่งไปเรื่อยๆ ได้ไม่หยุด เขาทำไมวิ่งได้ละ?  เราจะทำอย่างเขาได้ไหม  ต้องลองดู

  เราเริ่มวันแรก เดิน 1 รอบสนามสลับ วิ่ง 1 รอบ ทำแบบนี้จนครบ 10 รอบ  ก็จะได้ เดิน 5 รอบ วิ่ง 5 รอบ  สุดๆ ไปเลย  วันรุ่งขึ้นตื่นมา ขาแทบก้าวไม่ออกแต่เราไม่ยอมต้องถอน  วันที่สองก็วิ่งสูตรเดิมอีก  ความปวดเริ่มดีขึ้น  วิ่งสลับเดินแบบนี้อยู่เป็นเดือนๆ เลย ประมาณ 2 เดือน  พอขึ้นเดือนที่ 3  ต้องเพิ่มระดับ และตอนนี้เราเริ่มศึกษาหาความรู้เรื่องการวิ่งละ  จริงจังมาก จริงจังของเราคือ หมกมุ่นเลย  ว่างจากงานไม่ได้ หาข้อมูลการวิ่งที่ถูกวิธี ซึ่งทำให้รู้ว่า การวิ่งไม่ได้ทำให้เข่าเจ็บ  ไม่ทำให้กระดูกเสื่อม  แต่ผลคือตรงข้าม หากวิ่งถูกต้อง ไม่เจ็บเข่า กระดูกแข็งแรง  กล้ามเนื้อพัฒนา  ร่างการกระชับ

  เดือนที่ 3 เริ่มวิ่งติดกัน 5 รอบ แต่ก่อนวิ่งจะเดินอบอุ่มร่างกายก่อน  เดินแบบแกว่งแขนสูงๆ ไปเลย  เดินสัก 2-3 รอบ แล้วค่อยวิ่งติดกัน 5 รอบ  วิ่ง 5 รอบอยู่สัก 3 เดือน   พอเริ่มเดือนที่ 6 ลองเพิ่มระยะเป็น 7  รอบ ไปอีก 2-3 อาทิตย์  พอขึ้นเดือนที่ 7 กัดฟัน 10 รอบเลย  ทำสำเร็จ  ตั้งแต่นั้นมา วิ่งวันละ 10 รอบทุกวัน

  หลังจากวิ่งไประยะหนึ่ง ทำให้เรารู้ว่า ทำไม?  เขาจึงวิ่งกันได้นานๆ  เพราะ
  1.ความมีวินัย  เพราะคุณหากไม่มีวินัยคุณจะวิ่งได้ไม่นานและไม่ทน อาจจะท้อแท้ไปก่อน  ดังนั้นต้องมีวินัยในการวิ่ง ไม่มีข้ออ้างใดๆ
  2.วิ่งเป็น  ต้องเรียนรู้การวิ่ง ก่อนการวิ่งต้องศึกษาหาความรู้ จากผู้รู้ อย่าเพิ่งวิ่งตามสัญชาตญาณ  อาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ และเข็ดไปเลย
  3.มีความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า

  หลังจากวิ่งมาประมาณ 6 เดือน  ก็ตรวจสุขภาพ  ผลการตรวจสุขภาพยังไม่น่าพอใจ  ทุกอย่างยังสูงอยู่ น้ำหนัก 67.20 กก. ส่วนสูล 166 ซม. ความดัน 147/59 โคเลสเตอรอล 226 ไตรกลีเซอร์ไรด์ 134 ไขมันเลว(LDL)178 น้ำตาล105 .... แต่!อย่าเพิ่งท้อนะ  เราต้องออกกำลังต่อไป  เพราะเราเชื่อในสิ่งที่เราทำ  เราอาจจะพลาดบางจุด  ต้องก็นึกให้ออก และแล้วก็นึกได้คือเราไม่ระวังการกิน  กินเหมือนเดิม และก็ออกกำลังกายเพิ่ม  เมื่อคิดได้ ก็ปรับใหม่ยังไม่ถึงกับกินคลีน  แต่กินเหมือนเดิม แต่คิดให้มากขึ้น  เช่นปรับพฤติกรรมการกิน เริ่มจาก ของทอดๆ ที่โปรดปราน ก็เพลาๆ ลง เลี่ยงได้ก็เลี่ยง   ของมันๆ ไม่ค่อยกิน ก็ไม่เป็นปัญหา...แต่ปัญหา ก็คือ เราชอบกินขนมมากๆ  โดยเฉพาะเบเกอรี่  ชอบที่สุดชอบมากๆๆๆๆๆ  ต้องลดค่ะ  ยังไม่เลิกทันที  ค่อยๆ ลด   น้ำชงทั้งหลาย โกโก้เย็น ชาเขียวเย็น กาแฟเย็น  ต้องพยายามห้ามใจ (T_T")....มันไม่ได้ทำได้ในทันที เราต้องพยายามลด.....และทุกวันนี้เราก็ยังคงเดินหน้าวิ่งและปรับพฤติกรรมการกินต่อไปเพื่อสุขภาพที่ดีในอนาคต ทำมาขนาดนี้แล้วมาดูกันว่าผลจะเป็นอย่างไร

  หลังจากตรวจสุขภาพรู้ผลแล้ว  ไม่ท้อค่ะเพราะเชื่อว่าการออกกำลังกายคือคำตอบของสุขภาพที่ดี เดินหน้าวิ่งต่อไป แต่คราวนนี้ไม่วิ่งอย่างเดียว เริ่มมีการออกกำลังกายแบบยกน้ำหนักเพื่อเพิ่มแรงต้านสร้างมวลกล้ามเนื้อให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น  ก็วิ่งหาดรัมเบลค่ะ  แต่ก่อนจะใช้ดรัมเบล เราต้องรู้ก่อนว่า วัตถุประสงค์ของเราต้องการเล่นระดับใด  ของเราต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อเพื่อใช้การเผาผลาญไม่เอากล้ามปู  เราต้องหาดรัมเบลที่น้ำหนักพอเหมาะกับเรา ทำไงหล่ะ!  ก็หาความรู้ค่ะ  จากไหน?  YouTube สิ  เจอ ของคุณเมจิ อโนมา  อธิบายละเอียดกีมาก คือ การหาดรัมเบลที่เหมาะกับตัวเอง คือ ต้องไปลองยกดรัมเบลขึ้น-ลง โดยถ้าขึ้น-ลง ได้ เกิน 15 ครั้งแล้วไม่เมื่อย อันนั้นเบาไปสำหรับเรา  หาก ยก ขึ้น-ลงได้ 8-15 ครั้งแล้วเริ่มหนักแต่ยังไปต่อไปอีก1-2 ครั้ง อันนั้น คือ อันที่เหมาะสม  หากยกขึ้น-ลง ไปประมาณ ถึง 5 ครั้งแล้วเริ่มยกไม่ไหวแล้ว  อันนั้นหนักไปสำหรับเรา  สุดท้ายเราก็ได้ ดรัมเบลมา 2 แบบ
ดรัมเบล

Kattle bell 
  หลังจากได้มา  ดรัมเบลอันแรกยังรู้จัก  แต่เอา Kattle bell มาทำไม๊???? เห็นมันสวยดี เดือดร้อนหาวิธีเล่นท่า  ตอนแรกไม่รู้จักด้วยมันเรียกว่าอะไร  ต้องมานั่งหาค่ะ  หลังจากหาชื่อได้เราก็มาหาวิธีเล่นท่า ทุกอย่างเป็นจริงได้ใน YouTube ค่ะ  ทุกอย่างพร้อมเราก็เริ่มออกกำลังกายแบบมีดรัมเบล หรือ Kattle bell ประกอบค่ะ  มันเพิ่มแรงต้านสร้างกล้ามเนื้อให้กระชับมากขึ้น กล้ามแขนก็สวยกำลังดีไม่เป็นก้ามปูค่ะ  ผู้หญิงเราไม่ได้สร้างกล้ามกันได้ง่ายๆ นะคะ  ที่เขามีกัน เขาเหล่านั้นก็ต้องอยู่ในยิมกัน เกือบทั้งวัน มีครูฝึกประจำตัว มีการวางแผนการรับประทานอาหารอย่างดีและเหมาะสมโดยนักโภชนาการค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ

  วันไหนไม่ได้วิ่ง เราจะทดแทนการวิ่งโดยออกกำลังที่บ้านคือ การเผาผลาญไขมันด้วยวิธีต่างๆ นานาที่หาแล้วชอบ ถูกใจ เช่น kattle bell workout,  drumbell workout,  cadio workout,  tabata workout และ สุดท้าย สุดยอดของการเผาผลาญ HIIT workout (ลิ้นห้อยกันเลย) วนไปค่ะ เพราะตั้งแต่ออกกำลังกายมารู้สึกได้ว่า วันไหนไม่ได้ออกแล้วมันขาดอะไรไป  นอกจากมันไม่ไหวจริงๆ บางวันมันเหนื่อย มันเพลีย ก็ต้องหยุดบ้าง
  แรกๆ วิ่งจ๊อกกิ้งทุกวัน วันละ 30-40 นาที  แต่ผลที่ได้รับ คือ
1.สัดส่วนลดลงจนมีคนมาทัก ก็เลยกลับไปวัดอก เอว สะโพก ลงไปจริงๆ ^_^ เพราะการออกกำลังกายต่อเนื่อง 30 นาที ขึ้นไป ร่างกายเราจะเริ่มเผาผลาญไขมัน  แต่น้ำหนักไม่ลงนะ เพราะมันกลายเป็นกล้ามเนื้อ ใครอ่อนไหวกับตัวเลขของน้ำหนักก็อย่าชั่งน้ำหนักอาจจะไม่ลงหรือลงน้อยมาก
2.การสร้างวินัย ไม่รู้อันนี้คิดไปเองหรือเปล่า  แต่มีความรู้สึกว่า ต้องทำแบบนี้เพื่อบังคับตัวเองทำให้ได้แล้วเมื่อเวลาผ่านไปมันจะเป็นธรรมชาติ มันจะทำทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ ไม่มีคำว่าเบื่อหรือไม่อยากทำ  กลายเป็นกิจวัตรประจำวันเหมือนเราตื่นมาแปรงฟัน กินข้าว เข้าห้องน้ำ อะไรประมาณนี้
3.อารมณ์ดี สดชื่น กระฉับกระเฉง พราะร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขทั้ง 3 ตัว ได้แก่ "ซีโรโทนิน" ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีผลต่อความสุข ความมั่นคงทางอารมณ์ และช่วยป้องกันโรคซึมเศร้า "เอ็นดอร์ฟิน" ที่เป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดี ลดความกังวลและความเจ็บปวด และ"โดปามีน" ที่เป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึก สดชื่น กระฉับกระเฉ
  การออกกำลังกาย คือ ส่วนประกอบหนึ่งที่จะทำให้สุขภาพการและใจแข็งแรง ส่วนเรา เราพอใจกับผลของการออกกำลังกายมาก ถึงแม้น้ำหนักไม่ค่อยลง ตอนนี้ก็อยู่ที่ 64-66 กก. ความดัน 123/65 โคเลสเตอรอล 200ไตรกลีเซอร์ไรด์ 113 ไขมันเลว(LDL)122 น้ำตาล 90 แต่สัดส่วนกระชับเล็กลง เป็นกล้ามเนื้อมากขึ้นเพราะเล่นเวทเทรนนิ่งบ่อยกว่าการคาร์ดิโอ
    สุดท้ายนี้ใครที่คิดจะออกกำลังขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในแบบที่ตัวเองตามหาและหาคำตอบให้ได้ว่าออกกำลังเพราะอะไร และคุณจะพบเป้าหมาย ทำให้คุณไปถึงเป้าหมายได้ด้วยความสุข


   

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

จากมีนบุรีไปถึงวัดภูเขาทองต่อด้วยวัดสุทัศน์

ไปวัดภูเขาทองกัน  จากคลองสามวา ผ่านคลองแสนแสบ  ถึงคลองมหานาค
ระยะทางไม่ใช่ปัญหา  ถ้าใจอยากจะไป......

การเดินทางไปวัดภูเขาทอง(วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร) ฉบับคนคลองสามวา

...เริ่มจากบ้าน  เวลา 8 โมงกว่า ซอยหัยราษฏร์ 39  เขคคลองสามวา เราจะไปให้ถึงวัดภูเขาทองอย่างไร คิดอยู่ว่าจะไปอย่างไร รถส่วนตัว รถเมล์ แท็กซี่หรือเรือ  เราเลือกไป "เรือ" ไม่เคยไปนั่งเรือคนเดียวจริงๆ ทุกอย่างมันต้องมีครั้งแรก

...เมื่อตัดสินใจจะไปต้องได้ไป รถส่วนตัวไม่มี  ก็ต้องพึ่งรถสาธารณะ  เริ่มจาก เดินออกมานั่งรถตู้ แถวบ้าน คือ สายคลองเจ๊ก-มีนบุรี ราคา 16 บาท นั่งจากต้นสายลงเกือบสุด คือ ปากซอยใกล้ จตุจักรมีนบุรี (สังเกตจาก คนลงเกือบหมดรถค่ะ)  จากนั้น ข้ามทางม้าลาย มาฝั่งตรงข้ามจตุจักรมีน รอรถเมล์  บางคนรีบๆ ก็ไปรถตู้สายมีนบุรี-เดอะมอลล์บางกะปิ(กรณีไปต่อเรือ หรือ รถตู้ 3 ด่วนลงอนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วไปต่อสาย fast 8 ลงหน้าวัดภูเขาทองเลยก็ได้จ๊ะ) เราเลือกรถเมล์ จะสาย ปอ.27 หรือ สาย 96 ก็ได้ อะไรมาขึ้นหมด (ความแตกต่างระหว่าง 2 สายนี้ คือ ปอ.27 จากตลาดมีนรถจะวิ่งไปเส้นถนนเสรีไทย ส่วน สาย 96 จะวิ่งเส้นรามอินทรา แล้วไปเลี้ยวเข้าถนนนวมินทร์ ตรงคู้บอนหรือกม.8)   เดินมายืนรอสักไม่ถึง 3 นาที รถสาย 96 มาพอดีเลย (โชคดีมาก!!!)  ได้ขึ้นรถก็ประมาณ 9 โมง ค่ะ

ไม่ได้นั่งรถเมล์ ขสมก. มาสักพักละ  มีการเปลี่ยนแปลงให้แปลกตาไปตรงที่มีจอหลังคนขับ ไม่ได้ไว้ดู
เพลินๆ  อย่างเดียว มีบอกรายละเอียดการเดินรถ มีการบอกป้ายรถเมล์ถัดไปด้วย ดีงาม

...นั่งมาจนถึงเดอะมอลล์บางกะปิ ก็ลงเพื่อต่อเรือ ถึงเวลาประมาณ 10 โมง





...ได้ลงเรือละ  ขาไปได้ยืนตลอดทาง  เสียค่าเรือ จากท่าเดอะมอลล์ไปผ่านผ่านฟ้า 19 บาท ซื้อ-ขายตั๋วกันบนเรือนั้นแหล่ะ  เช้าวันเสาร์คนแน่นมากกกกกก เก็บตั๋วไว้ให้ดีค่ะ เราต้องใช่สำหรับการต่อเรือ....

เรามาต่อเรือที่ ท่าเรือประตูน้ำค่ะ  ก่อนขึ้นเรือมีเรื่องตื่นเต้นนิดหน่อย  มัวแต่เหม่อค่ะ รู้สึกตัวอีกที่ 
หน้าเปียก หัวเปียก ไหล่เปียกไปครึ่งซีก......ดีค่ะเย็นดี น้ำตรงท่าเรือประตูน้ำปลอดภัยค่ะ ถูกน้ำกระเด็นเข้าตาแล้วไม่เป็นปัญหา.......(ดูจากสีของน้ำแล้ว สีเทาๆ ค่ะไม่ดำปิ๊ดปี๋ ???).......
และคราวนี้ได้นั่งค่ะ เลือกนั่งครึ่งแรก  เสียงไม่ดัง (เห็นน้ำไหมคะ  เทาเชียว)
รีบดึงม่านพลาสติกมาบังหน้าก่อนเลย  เรามีประสบการณ์แล้วนะจ๊ะ

ถึงแล้วท่าเรือผ่านฟ้า!!!  เวลาที่ถึงท่าเรือ ประมาณ 11 โมงค่ะ
 

เจอแผนที่ด้วย...แต่ไม่ได้ช่วยอะไร (แล้วจะถ่ายเพื่อ???)

วัดอยู่ไหนละหันไปหันมาก็......เจอวัดเป้าหมาย!!!  
ที่แท้ฝั่งตรงข้ามท่าเรือนั้นแหล่ะ  โง่มาก่อนฉลาดเสมอ
ถ้าจะไปวัดก็เดินขึ้นจากท่าเรือ ถ้าเลี้ยวซ้ายข้ามสะพานมหาดไทยอุทิศ(ที่มีรูปผู้หญิงอุ้มเด็กยืนร้องไห้)
 ก็จะเจอกับถนนบริพัตร  

แต่!!!เราอยากกาแฟ  ก็ต้องได้กิน  เลยเดินเลี้ยวขวาจากท่าเรือ...
ไปแบบงงๆ และฟลุ๊คจนเจอ 7/11 และในที่สุด...สายตาก็ไปหยุดที่ร้านกาแฟ แห่งหนึ่ง
ที่เขารีวิวกัน ร้าน Blue Tree ค่ะ  นั่งให้เย็นๆ อีกสักพัก  

ดื่มกาแฟจนชื่นใจกันแล้วก็ออกจากร้าน
แล้วเดินไปทางซ้ายมือ เพื่อมุ่งหน้าสู่เป้าหมายหลักวันนี้ 




ถ้าเห็นสถานีดับเพลิง  คือ  ถัดไปจะเป็นวัดภูเขาทองแล้วค่ะ  แต่ทางเดินที่เรามาจะเข้าทางด้าน ภูเขาทองค่ะไม่ใช่ด้านหน้าวัดนะคะ

เข้าไปก็จะเจอกับสิ่งนี้ขวางหน้าอยู่ (ถ่ายไว้ก่อนเผื่อใช้การได้)


หันไปทางซ้ายเพื่อจะเดินไปขึ้นภูเขาทอง แต่เหลือบไปขวามือจะเห็น...จะเห็น...
ปะ...เข้าไปสวดมนต์ ขอพรกันก่อน มีบทสวดมนต์พร้อมวิธีปฏิบัติเคลือบพลาสติกไว้ให้บริการค่ะ  
เราจัดไป 1 จบค่ะสบายใจ

หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จก็เดินมาเพื่อจะไปขึ้นภูเขาทองกันค่ะ  
ตามทางเดินทำที่นั่งพักร้อน พักเหนื่อยเรียบร้อยดีค่ะ


ทางเดินขึ้นภูเขาทอง เราคือคนไทย ขึ้น ฟรี!!! นักท่องเที่ยว เสียตัง 50 บาท นะจ๊ะ





ร้านกาแฟของทางวัดภูเขาทอง  คือ  ร้าน Golden Mount. Coffee 
จะเจอทั้งขาขึ้นและขาลงภูเขาทองเลยค่ะ อันนี้ไม่ได้เข้าไปชิม เก็บไว้คราวต่อไป

ผ่านร้านกาแฟมาก็จะเริ่มเดินกันจริงจังละ ขั้นบันไดจะถี่ๆ หน่อย 
ขายาวๆ อย่างเราก็ก้าวทีละ 2 ขั้น จะพอดีเลย





วันนี้ฟ้ามันครึ้มๆ แดดไม่มีเหมาะแก่การเดินแต่ไม่เหมาะกับการถ่ายรูป แต่ก็อยากจะถ่าย

และแล้ว......ก็ขึ้นมาถึงแล้วค่ะ เข้าประตูมาก็จะเจอพระพุทธรูปองค์นี้เลย 

วนซ้ายตามทางบังคับ เจอพระประจำวันเกิด ของคนเกิดวันอังคาร(ปางค์ไสยาสน์)

 ต่อด้วยหยอดเหรียญบูชาพระประจำวันเกิด

 ใครนับถือ พระมหาเศรษฐีนวโกฏิ เชิญมาไหว้ขอพร ขอโชคลาภ ได้เลย
เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่อำนวยลาภผล โภคทรัพย์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง 

 เดินครบเป็นวงกลมแล้ว มีทางขึ้นไปส่วนของ เจดีย์บนภูเขาจำลองกันค่ะ
เห็นทางขึ้นแล้วรู้สึกเป็นนางฟ้าขึ้นมาเลย


บนยอดของเจดีย์นี้ ได้บรรจุพระธาตุไว้
เพิ่มความเป็นสิริมงคลให้กับการค้าขายที่ดินจะได้สำเร็จ 
โดยการนำสำเนาโฉนดที่ดินมาหยอดใส่ในบาตรยักษ์ใบนี้ค่ะ  
ลุงฝรั่งพยายามถ่ายมาก เห็นถ่ายอยู่ 3 ระยะ  (ไกล กลาง ใกล้)


 เห็นเป็นวัยรุ่นอย่างนี้  แอบมี moment ขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะจ๊ะ (สงสัยขอเรื่องสอบ ชัวร์!)

 อันนี้ก็ไม่เกี่ยว แต่ชอบ คือ ลุงคนเดียวกับที่ถ่ายรูป 3 ระยะ 

ลงกันเถอะ !!

ลงมาเจอสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) พร้อมบทสวดชินบัญชร

ต่อมาก็ รูปแร้งจิกกินศพ คนที่เป็นโรคอหิวาต์ ที่รอการเผา  แต่เนื่องจากศพมีมากมายเกินไป เผาไม่ทัน  แร้งก็เลยมาจิกกินไปพลางๆ อย่างที่เห็น(บรื้อออออออ)  คือที่มาของ "แร้งวัดสระเกศ" นั้นเองค่ะ
  
หลวงพ่อโต ประดิษฐานกับวัดภูเขาทองมาเนิ่นนานแล้ว
จบตรงส่วนของภูเขาทอง เดี๋ยวไปต่อที่พระอุโบสถ

มาต่อกันที่ วิหารพระอัฏฐารส  พระอัฏฐารสเป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ  
พระอัฏฐารสเป็นพระประจำราชธานีของเมืองหลวงในสมัยก่อน  
เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข ปราศจากสงคราม  และทำให้ประเทศชาติสถิตสถาพรมั่นคงยืนนาน 
พระอุโบสถ....ทำไม?เราไม่ถ่ายด้านข้างนะ
หน้าบันพระอุโบสถ ตรงกลางคือ พระนารายณ์ทรงครุฑ  อันเป็นสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์จักรี


พัทธสีมาที่ประดิษฐานในซุ้มทรงกูบช้างประดับกระเบื้องลายวิจิตร เป็นฝีมือช่างจากเมืองจีน

ซุ้มประตูเข้าพระอุโบสถ 
สถานีสุดท้ายของวัดภูเขาทอง
พระอุโบสถ ประดิษฐานพระประธานปางสมาธิ  ฝีมือสกุลช่างรัตนโกสินทร์ 

(วันที่ไปมีการจัดพิธีบวช เลยมีแต่เก้าอี้!!)

เที่ยงกว่าแล้วจะกินไรดีละ  .... กินข้าวมันไก่ เจ๊ยี เจ๊ไม่ตีเนื้อไก่....ดีงาม 50 บาท 


วันนี้ขอ full course เนื้อหนัง พร้อม!!!



อิ่มแล้วเดินต่อ เดินไปวัดสุทัศเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร 


กัน  เปิด google map ให้พาไป 13 นาที ก็ถึง




โอ้ววว!!! เสาชิงช้าลิบๆ เป็น สัญญาณว่า จะถึงวัดสุทัศน์ฯ แล้ว

เสาชิงช้าอยู่หน้าเรา ข้างซ้ายก็วัดสุทัศน์ฯ ค่ะ

 ไม่พลาดถ่ายด้านข้าง


 พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ ประธานในพระอุโบสถ วัดสุทัศเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร
เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8

จุดสุดท้ายในวัดสุทัศนฯ  คือ ซุ้มหน้าต่างของพระอุโบสถ


ออกมาจากวัดแล้วค่ะ  จะกลับถิ่นฐานละค่ะ  ไว้คราวหน้ามาเก็บรายละเอียดเพิ่ม 
และยังคงเดินกลับไปยังที่ที่เราจากมา คือ ท่าเรือผ่านฟ้า





ลงเรือแล้วกลับบ้านและเหมือนเดิม ซื้อตั๋วบนเรือกับพนักงานขาย (ที่เดินกันไปมาบนกาบเรือ)
เก็บไว้ห้ามหาย เพราะเราจะต้องต่อเรือที่ประตูน้ำอย่างเคย เพื่อกลับไปลงที่ท่าเรือเดอะมอลล์ บางกะปิ
นี้เป็นภาพสุดท้ายแล้วค่ะ  หลังจากนั้นภาพตัด ฟื้นอีกที่ ท่าเรือวัดกลาง
อ้าว!!!ท่าต่อไปเดอะมอลล์ บางกะปิ..... ยังเมาขี้ตาอยู่เลย ......

สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้
1.ค่ารถตู้ ไป-กลับ มีนบุรี-คลองเจ๊ก  16*2  = 32 บาท
2.ค่ารถเมล์ สาย 96 ไป-กลับ          6.50*2 = 13 บาท
3.ค่าเรือ ไป-กลับ                              19*2  = 38 บาท
4.ค่ากาแฟ                                                     50 บาท
5.ค่าขนม                                                       45 บาท
6.ค่าข้าวมันไก่                                               50 บาท
7.ค่าน้ำ                                                          10 บาท
8.ค่ากระดาษชำระ ทั้งเปียกและแห้ง             25 บาท

                                         รวมค่าเสียหาย  263 บาท